way back home ทางกลับบ้าน - way back home ทางกลับบ้าน นิยาย way back home ทางกลับบ้าน : Dek-D.com - Writer

    way back home ทางกลับบ้าน

    ฉันอยากกลับบ้าน ฉันคิดถึงบ้านเหลือเกิน แต่ฉันก็ไม่รู้เลยว่าบ้านฉันอยู่ที่ไหน มันมืดไปหมด..........

    ผู้เข้าชมรวม

    71

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    71

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 ธ.ค. 63 / 13:10 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    'ผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้รถไฟได้มาถึงสถานณีกลางกรุงเทพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โปรดตรวขสอบข้าวของของท่านก่อนออกจากขบวนรถด้วยค่ะ .....'

    ฉันลืมตาตื่นขึ้นและก้าวเดินออกจากขบวนรถ ตอนนี้ฉันอยู่ในเมืองกรุง เมืองที่ฉันเกิด แต่ทำไมมันถึงรู้สึกห่างไกลและเคว้งคว้างแบบนี้ ฉันกำลังจะกลับบ้าน แต่หนทางช่างไกลเหลือเกิน
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      'ผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้รถไฟได้มาถึงสถานณีกลางกรุงเทพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โปรดตรวจสอบข้าวของของท่านก่อนออกจากขบวนรถด้วยค่ะ .....'

      ฉันค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นจากเสียงประชาสัมพันธ์และแสงไฟที่ส่องมาโดนหน้าฉันพอดี "ถึงกรุงเทพแล้วหรอ... อะ อ้าว"  ฉันมองไปรอบๆ ก็เห็นผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังทยอยลงจากขบวนรถ แต่ข้างๆฉันนี่สิ  

      เดิมทีมันมีเจ้าเพื่อนตัวดีนั่งอยู่ตอนนี้มันหายไปไหนนะ หรือจะออกไปรอข้างนอกแล้ว พอฉันมองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่มีนี่นา ไปอยู่ไหนนะยัยมะปราง ฉันรีบคว้ากระเป๋าเป้ใบโตก่อนจะรีบโทรหายัยเพื่อนตัวดี  ‘ขอโทษค่ะ ไม่สามารถติดต่อหมายเลขปลายทางได้ในขณะนี้….ตู้ดดด’  

      ซื้อโปรเน็ตแทนแล้วกัน ‘ขอโทษค่ะ ยอดเงินคงเหลือไม่เพียงพอ…ตู้ดดด’ เคจ้า โทรไม่ติด ตังซื้อเน็ตก็ไม่มี แถมตอนนี้หน้าจอโทรศัพท์ก็ขึ้นข้อความที่ชวนให้ใจหายหนักกว่าเดิม แบตเหลือน้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์และดับในวินาทีต่อมา  

      อ่า....มันจะซวยอะไรแบบนี้นะ จำได้ว่าตอนอยู่สุโขทัยมันยังเจ็ดสิบอยู่เลย สงสัยแบตคงไปสวรรค์แล้วล่ะ ฉันจำใจเดินเอื่อยๆ มามองแผ่นที่ขนาดใหญ่ (มาก) ที่ติดอยู่บนกำแพงสถานี ซึ่งมันบอกเส้นทางโทรคมนาคมของทั่วทั้งกรุงเทพ  

      อื้อหือ ตอนไปรถไฟฟ้าสองสายตอนนี้สิบสองสาย ทางด่วนผุดอีกตรึม แถมถนนใหม่ๆ อีกสิบ รถเมล์อีกร้อยกว่าสาย ตาลายเลยครับพี่น้อง “นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย”  ฉันเผลออุทานออกมาเสียงดังจนแทบปิดปากไม่ทัน ดีนะที่แถวนี้คนน้อยไม่งั้นอายชาวบ้านแย่  

      “เอ่อ…ให้ช่วยอะไรไหม” ชายหนุ่มท่าทางดูดี (จัดว่าหล่อและงานดีมาก) ใส่ชุดสูทสีแดงและผูกเนคไทสีดำเดินเข้ามาหาฉัน “ผมเป็นไกด์ รู้จักทุกตรอกซอกซอยในกรุงเทพเลยนะ มีอะไรถามมาได้เลย” ชายคนนั้นพูดอย่างเป็นมิตร 

      “เอ่อ คือว่าฉันจะกลับบ้าน แล้ว...เอ่อ ” ฉันตอบกลับไปเเล้วก็ฉุกคิดขึ้นได้ จะกลับบ้าน แต่บ้านอยู่ที่ไหน โอ้ยตายแล้วสมงสมอง มันมืดไปหมดเหมือนกับเราไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนทั้งที่ก็เกิดที่นี่ โตที่นี่ เที่ยวซนก็ที่นี่ แต่ทำไมมันถึงได้ว่างเปล่าขนาดนี้ เอาหล่ะๆ ค่อยๆ คิดนะที่ๆ พอจำได้ในเมืองมันต้องพอมีบ้างสิน่า  

      “เอ่อ มันมีอาคารสูงๆ มีเสาธง เอ่อ...  แม่น้ำ ตึกสีส้มๆ เขียวๆ "  

      “แถวๆ บ้านดินหรือเปล่า”   

      “เอ๋”   

      “ถนนสร้างใหม่ ที่นั่นมีโรงพยาบาลภูมิรักษ์อยู่ ตึกส้มๆ หลังคาเขียวๆ”  

      “อ่าใช่ๆ นั่นแหละๆ แล้วไปยังไงหรอ”  

      “แท็กซี่จากนี้ไปก็ร้อยกว่าๆ” ฉันรีบหยิบกระเป๋าตังออกมาเช็คสภาพการเงินทันที และมันว่างเปล่า เงินศูนย์บาทกับแบตศูนย์เปอร์เซ็น เยี่ยม “ปีใหม่รถไฟฟ้าขึ้นฟรี เธอก็ขึ้นจากนี่ไปลงสถานนีบ้านดินสิ”  

      “เอ๋ สายไหนหรอ แล้วรถไฟฟ้านี่…ขึ้นยังไงอะ”  

      “…ให้ไปส่งไหม”  

      “เอ่อ…แต่ว่าคุณ”  

      “ไม่เป็นไร ผมพึ่งไปส่งชาวต่างชาติที่สนามบินมา ส่งคุณอีกคนจะเป็นไร ถือเป็นของขวัญวันปีใหม่จากผมละกัน คุณจะได้รีบกลับบ้านไปฉลองปีใหม่ที่บ้านด้วย”  

      “ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ คุณ...” ให้ตายเถอะเทวดามาโปรดชัดๆ 

      “จริงสิ ผมชื่ออัสดง แล้วคุณล่ะ” 

      “วาริน เรียกรินเฉยๆ ก็ได้นะ"  

      “ได้ครับคุณรินเฉยๆ” ฉันหันขวับไปมองหน้าเขาทันที เขาก็ยิ้มขำๆ 

      “เอาน่าๆ อย่าเครียดสิ เลิกทำหน้าเหมือนโลกจะแตกแล้วตามผมมาได้แล้ว ไปช้ารอรถนานนะ” พูดจบเขาก็เดินนำหน้าแบบไม่รู้ไม่ชี้ปล่อยฉันให้เดินตามหลังต้อยๆ 

       

      สถานีกลางกรุงเทพ คือสถานีรถไฟที่ใหญ่กว่าทั้งหัวลำโพงและบางหว้า เป็นศูนย์รวมรถไฟทั้งจากเหนือใต้ออกตก รถไฟฟ้าสิบสองสาย รวมใต้ดินและส่วนต่อขยายกับแอร์พอร์ตลิ้งค์แล้วนะ แถมอู่รถเมล์อีกสิบสาย โดยแบ่งพื้นที่ฝั่งตะวันออกเป็นอู่รถเมล์ ตะวันตกเป็นรถไฟธรรมดา ใต้ดินแบ่งเป็นสี่ชั้น ลอยฟ้าอีกสามชั้น  

      อัสดงพาฉันขึ้นมาชั้นสองของรถไฟฟ้า “เฮ้ ฝั่งนั้นเป็นสายสีฟ้า เราจะไปสายสีน้ำเงินอยู่ทางนี้”  

      “ขอฉันดูวิวก่อนสิ” ฉันวิ่งไปเกาะรั้วกั้นเพื่อดูวิวจากมุมสูง ตรงที่ฉันยืนอยู่ลมค่อนข้างแรง แต่ก็ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ตึกมากมายรูปทรงแปลกตา ย่านการค้าที่ผุดขึ้นมาใหม่ รถไฟที่แล่นสวนกัน ถนนตัดใหม่อีกหลายสาย “ว้าว สวยจังเลย มีถนนใหม่ๆ กับสะพานข้ามแยกเต็มเลย"  

      “แต่ถึงยังไงรถก็ติดอยู่ดี” อย่าเอาความจริงมาพูดได้ไหมเล่า ไฟสีแดงสวยสดทั้งเส้นเลยนะถนนบ้านเรา อัสดงพาเดินมาถึงทางซื้อตั๋วที่ตอนนี้ติดป้ายประกาศว่า 'ปีใหม่ ขึ้นฟรีทุกสายทุกเส้น' "เธอไปทางนี้นะ แล้วเลี้ยวซ้ายรอรถแล้วจากนั้นก็--"  

      "นายไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ แบบว่า นายเป็นไกด์นี่ ฉันหลงทางอยู่บ่อยๆ น่ะ อีกอย่างฉันไม่ได้กลับเมืองมาสี่ปีแล้วด้วย ไม่รู้อะไรเปลี่ยนแปลงไปตรงไหนบ้าง"  

      "อ่า ก็ได้ๆ แต่ถึงบ้านแล้วเธอต้องจ่ายค่าตัวให้ผมนะ"  

      "ได้!" รอไม่ถึงสิบนาทีเราสองคนก็ได้ขึ้นรถไฟแล้ว ข้างในรถก็เหมือนเดิมเพิ่มเติมคือคนน้อยมาก รถไฟค่อยๆ แล่นออกจากชานชาลาแล้วก็เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ  

      ฉันเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ภาพตึกระฟ้าค่อยๆ ผ่านตาไป บ่งบอกถึงความเจริญของเมืองหลวง "เราต้องไปอีกไกลไหม" ฉันหันไปถามอัสดงที่ยืนพิงตัวรถอยู่  

      "อีกสี่ห้าสถานนี สักประมาณสิบห้านาทีก็ถึง" จริงอย่างที่เขาว่า ผ่านไปสิบห้านาทีก็ถึงสถานีบ้านดินแล้ว ฉันก้าวออกจากตัวรถก่อนจะรีบวิ่งออกไปเกาะที่ระเบียง  

      "ตรงนั้นคือโรงพยาบาลใช่หรือเปล่า" ฉันชี้นิ้วไปยังตึงสูงสีส้มเขียว ที่รอบๆ มีตึกสูงๆ ขนาบข้างอีกสองสามตึก  

      "ใช่แล้วล่ะ เราต้องเดินไปอีกประมาณสิบนาทีก็คงถึงแหละ" พูดจบเขาก็เดินนำไปแบบไม่สนใจฉันสักนิด ถ้าฉันตกบันไดหัวแตกขึ้นมาจะทำยังไงให้ตายสิ  

      พูดยังไม่ทันขาดคำ ขาเจ้าปัญหาของฉันก็ดันเกี่ยวกันซะได้ ส่งให้ตัวฉันล้มลงไปข้างหน้า แต่ก่อนที่ตัวฉันจะล้มลงกับพื้นก็มีแขนของใครบางคนมาจับข้อมือฉันไว้และดึงตัวฉันเข้าไปในอ้อมแขน “อยากเข้าโรงพยาบาลมากเลยล่ะสิท่า ซุ่มซ่ามแบบนี้เย็บกี่เข็มดีนะ” อัสดงหันมายิ้มน้อยๆ ก่อนปล่อยฉันออกจากอ้อมแขน 

      “เงียบไปเลยนะ"  

      โครกก 

      หน้าฉันแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที ไอ้เจ้าท้องบ้า ใครใช้ให้มาร้องตอนนี้กันเล่า

      “หิวแล้วล่ะสิ หาอะไรกินกันก่อนเถอะ” เขาแอบอมยิ้มด้วยล่ะ ฉันเห็นนะ 

      “เอาสิ ฉันพอรู้จักร้านอร่อยๆ แถวนี้อยู่ ตามฉันมาเลย” ฉันไม่รอช้ารีบจูงมืออัสดงและวิ่งลงจากสถานีบีทีเอสอย่างไว 

      ฉันจูงมืออัสดงมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาล ปกติฉันจะมากินร้านนี้กับมะปรางบ่อยๆ ก็มันอร่อยนี่หน่าแถมคุณป้าก็ใจดีด้วยนะ  

      ฉันเดินเข้ามาในร้านและเข้าไปนั่งตรงโต๊ะแถวที่สองของร้าน ก็นะตรงนี้มันที่ประจำฉันล่ะนะ ในร้านตกแต่งสไตล์ไทยโบราณ มีการเอาของใช้เก่าๆ มาวางโชว์ไว้บนชั้นวางของที่ห้อยไว้ข้างผนัง และยังมีต้นไม้ต้นเล็กๆ วางอยู่ตามโต๊ะต่างๆ อีกด้วย ทำเอาอัสดงมองไปรอบๆ ร้านอย่างสนอกสนใจเลยล่ะ พอมองมุมนี้แล้วเขาก็ดูดีเหมือนกันนะเนี่ย 

      “คุณลูกค้าจะรับอะไรดีคะ”  

      “เอาเป็นเส้นเล็กน้ำตกหมู ไม่ใส่ลูกชิ้นค่ะ”  

      “ผมเอาเส้นเล็กน้ำตกลูกชิ้นหมูอย่างเดียว”  

      “ของน้องผู้หญิงใส่หมูไม่ใส่ลูกชิ้น ส่วนของน้องผู้ชายใส่แต่ลูกชิ้นใช่ไหมคะ”  

      “ใช่ครับ น้ำเปล่าสองขวดด้วยนะครับ”  

      “ได้ค่ะ” 

      แปลกจังปกติแม่ค้าในร้านนี้จะเป็นคุณป้าตัวอ้วนๆ ผิวคล้ำๆ หน่อยไม่ใช่เหรอ  แต่ทำไมครั้งนี้ถึงเป็นคุณยายใส่แว้นตัวผอมได้ล่ะเนี่ย แต่ช่างมันเถอะ ขอให้อร่อยเหมือนเดิมก็พอ   

      ไม่เกินยี่สิบนาทีก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ สองชามก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะพร้อมน้ำเย็นเจี๊ยบอีกสองขวด ฉันไม่รอช้าหยิบตะเกียบขึ้นมาและ--- “ลิ้นเธอหนาน่าดูเลยนะ จะกินไม่กลัวร้อนเลย หน้าก็หนาแบบนี้ด้วยหรือเปล่าเนี่ย” 

       ฉันชะงักกึก ก่อนจะค่อยๆ เป่าก๋วยเตี๋ยวให้คลายร้อน พอมันอุ่นๆ แล้วก็เอาเข้าปากคำโต 

      “ใครจ่าย”

       ฉันสตั๊นไปอีกรอบ จริงด้วยตอนนี้ฉันไม่มีเงิน ฉันปั้นหน้ายิ้มน้อยๆ ในขณะที่มีก๋วยเตี๋ยวอยู่เต็มปาก อัสดงส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ 

      “อมข้าวเป็นลิงเลยนะ เดี๋ยวฉันจ่ายเอง กินๆไปเถอะ” ฉันพยักหน้าก่อนจะลงมือจัดการกับก๋วยเตี๋ยวในจาน

       "เอานี้" อัสดงตักหมูสับมาใส่ในจานก๋วยเตี๋ยวฉัน แถวถั่วงอกอีกเล็กน้อยๆ(เต็มช้อนเลยค่ะ)

      "นายไปกินหมูสับกับถั่วงอกหรอ"

      "เออ สั่งใส่ลูกชิ้นอย่างเดียวแถวถั่วงอกกับหมูสับมาให้ฉันด้วย ยายแกใจดีจริงๆด้วยแหะ"

      "ถ้าไม่กินถั่วงอกก็บอกไม่ใส่ถั่วงอกสิ แบกแต่นั้นใครจะไปรู้เล่า ที่นายคิดกับที่ยายเขาคด ไม่เหมือนกันนะส่วนหมูสับติดมานิดหน่อยเองอย่าคิดมากน่า" 

      อัสดงทำหน้าเบลอๆก่อนจะคีบถั่วงอกที่เหลือในจานเขามาใส่ให้ฉันจนหมด ทำให้ตอนนี้เส้นเล็กน้ำตกหมูของฉันกลายเป็นเกาเหลาถั่วงอกไปซะแล้ว

      "ผักดีต่อสุขภาพนะ"

      "งั้นนายก็กินบ้างสิ"

      "ไม่ละฉันสุขภาพดีอยู่แล้ว ไม่เอ๋อๆเหมือนเธอหรอก"ฉันหันไปจ้องหน้าอัสดงอย่างโกรธๆแต่เขาก็แค่ยิ้มขำแล้วตักก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก

      ตรงหน้าฉันคือตึกสูงห้าชั้นทั้งตึกทาด้วยสีส้มและมีหลังคาสีเขียวสะดุดตา นี่คือตึกกลาง แลนด์มาร์คของโรงพยาบาลภูมิรักษ์ “นี่ๆ อัสดงนายอยากเดินรอบๆ โรงพยาบาลสักรอบไหม วนไปถึงคณะแพทย์ตรงหลังโรงพยาบาลก็ยังได้นะ ฉันเรียนมหาลัยที่นี่นะ รู้ทุกซอกทุกมุมของที่นี่เลยนะ มาเร็วๆ”  

      จะว่าไปตั้งแต่เรียนจบฉันก็ไม่ได้กลับมาที่นี่เลย เพราะเป็นนักเรียนทุนเลยต้องไปใช้ทุนในโรงพยาบาลที่รัฐกำหนดให้ แถมหวยดันออกที่โรงพยาบาลชนบทบนดอยอีก โชคดีที่อยู่เชียงใหม่ในตัวเมืองเลยค่อนข้างเจริญเหมือนในกรุงเทพ  เวลาไปเที่ยวเลยไม่มีปัญหาเท่าไหร่  

      “อ๊ะๆ ตึกนี้ๆ ตึก20ปีภูมิรักษ์ ฉันมาฝึกงานที่นี่สมัยเรียนล่ะ จำได้เลยวันแรกยายมะปรางร้องไห้อยากลาออกด้วยนะ เพราะนางโดนคนไข้อ้วกใส่ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่มาฝึกงานเลยล่ะ”  

      “ละก็ตรงนั้นๆ เป็นพระประจำโรงพยาบาล ฉันกับเพื่อนๆ ชอบมาบนตรงนี้บ่อยๆ”  

      “คนอย่างเธอพระคุ้มครองด้วยเหรอ” ให้ตายสินายคนนี้นี่มันปากเสียชะมัด 

      “อย่างน้อยก็บนสำเร็จละกันน่ะ ฉันบนไว้ว่าอยากไปประจำโรงพยาบาลแถวๆ ภาคเหนือ แล้วก็ได้จริงๆ ด้วยนะ ได้ที่เชียงใหม่  เมืองก็สวยแถมเจริญด้วย เสียดายโรงพยาบาลที่ฉันประจำอยู่อยู่บนดอย ไกลเมืองไปหน่อย แต่ก็อากาศดีนะ คนที่นั่นน่ารักมากๆ เลยด้วย”   

      พอนึกถึงบรรยากาศที่โรงพยาบาลแล้วก็คิดถึงแหะ แต่ว่าฉันก็ไม่อยากกลับไปที่นั่นสักเท่าไหร่ “ตรงนั้นเป็นมหาลัยสินะ”  

      “นายรู้ได้ยังไงน่ะ!”  

      “อ่านป้ายสิ ฉันไม่ได้ตาบอดสักหน่อย”  อ่า จริงด้วย ป้ายคำว่าคณะแพทยศาสตร์ตัวเบอเร่อตั้งเด่นอยู่บนอาคารสูงสี่ชั้น แถมตัวอักษรนูนสีทองอร่าม แบบมองเห็นได้ในระยะร้อยเมตร “อยากรู้จริงๆ ใครมันออกแบบโรงพยาบาลนี้กันนะ ดูจากสภาพแล้วก็ไม่น่าจะเต็มสักเท่าไหร่เหมือนกับผู้เรียนล่ะมั้ง”     

      เอ่อ เขากำลังแซะฉันใช่ไหมนะ “ไม่ได้กลับไปนานแล้วแหะ นายมาเป็นเพื่อนหน่อยสิ”  

      “แน่นอนสิ ขืนไม่ไปด้วยเธอคงสะดุดยอดหญ้าตายก่อนถึงตึกเรียนแน่นอน”  

      “ปากนายนี่มันปากนรกส่งมาเกิดจริงๆ” ฉันสุดจะทนกับคนอย่าอัสดงแล้วนะ ปากเสียเอามากๆ ฉันเลยลองสวนไป แต่เขากลับยิ้มขำแบบหล่อๆ และเหมือนจะพยักหน้าน้อยๆ ด้วย 

      ในส่วนของมหาลัยแบ่งเป็นสี่ตึก ตึกคณะแพทย์ ตึกคณะพยาบาลและหอพัก แน่นอนว่าแยกแพทย์กับพยาบาลด้วยนะ หอที่หรูที่สุดคือหอพักแพทย์ จะว่าไปมีอยู่วันหนึ่งที่ไฟดับแล้วยายมะปรางกำลังอาบน้ำอยู่ ตอนนั้นยายนั่นกรี๊ดลั่นหอเลยแหละ คิดแล้วก็ตลกดีนะทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว  

      “อืม ฉันว่าก่อนเธอจะไปรักษาคนไข้ช่วยรักษาตัวเองก่อนเถอะ”  

      “นายไม่เคยนึกเรื่องตลกๆ แล้วขำออกมาหรือไง มันปกติจะตายไป”  

      “อ่า...งั้นฉันคงผิดปกติ แต่ฉันจะไม่มารักษากับหมอของโรงพยาบาลนี้เด็ดขาด”  

      ฉันหลุดหัวเราะออกมาพรืดใหญ่ ก็นะดูจากการดีไซน์โรงพยาบาลแล้ว เหมือนโรงพยาบาลบ้าก็ไม่ปาน 

      “เอ๊ะ นั่นมันครูนนท์นี่หน่า ครูคะๆ” ฉันเหลือบไปเห็นชายแก่ในชุดกาวสีขาวยาวสะอาดตา เขาหันมามองฉันอย่างเอ็นดูพร้อมโบกมือให้เล็กน้อย ฉันเห็นปากเขาขยับนิดหน่อยแต่ไม่ได้ยินว่าเขาพูดว่าอะไร แต่มันทำให้ฉันรู้สึกจุกๆ ที่หน้าอก แล้วน้ำตาก็ไหลออกจากตาสองข้าง 

      ฉันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาก่อนจะหันกลับไปมองอาจารย์ แต่เขาก็หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว “เขาหายไปไหนแล้ว”  

      ฟื้ดดดด 

      ดูเหมือนว่านอกจากน้ำตาจะไหนแล้วน้ำมูกก็ไหลด้วยแฮะ 

       “เขาขึ้นตึกไปแล้วน่ะ ว่าแต่...ฝุ่นเข้าตาเหรอ”  

      “อือ”  

      “เอ้านี่ เช็ดฝุ่นซะ” อัสดงยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดมาตรงหน้าฉัน ยังไม่ทันรับมันเขาก็โยนมันมาแปะตรงตาฉันพอดี “กันฝุ่นเข้าตา ซักแล้วเอามาคืนด้วยละ จะส่งไปรษณีย์มาก็ได้”   

      “เดี๋ยวซื้อใหม่ให้เลยเอาไหม”  

      “ได้ ไม่ว่ากัน”  

      “จริงสิตรงหลังมหาลัยติดแม่น้ำด้วยนะ ตรงนั้นวิวดีมากๆ เลยแถมมีร้านแซนด์วิชอร่อยๆ อยู่ด้วย นี่ก็เที่ยงแล้วนะ ไปหาอะไรกินก่อนเถอะ เอ่อ...ฝากนายจ่ายก่อนนะ ได้รึเปล่า”  

      “สรุปเธอให้ฉันมาเป็นเพื่อนหรือกระเป๋าตังจำเป็นกันแน่ฮึ หน้าไม่อายจริงๆ” ฉันหัวเราะแหะๆ ก่อนจะลากมือเขาไปหลังมอทันที ก็นะฉันหิวแล้วนี่หน่า 

      เดินเท้ามาแค่สิบนาทีนิดๆก็มาถึงหลังมหาลัยกันแล้ว ลมเย็นๆพัดจากแม่น้ำมากระทบหน้าฉันทำให้ฉันต้องเอามือปัดผมที่มาปรกหน้าจนผมฉันยุ่งฝูไปหมด  

      “อ่าแย่จัง ร้านแซนวิชปิดซะได้”  

      “เขาคงไม่อยากให้คนเอ๋อๆอยากเธอกินละมั้ง นู่นทางนู้นมีขายอยู่นะ”  

      “อาหารหรอ”  

      “ใช่ เป็นถุงๆเลยเห็นไหม”  

      “นั้นมันอาหารปลานะตาบ้า ฉันกินไม่ได้เสียหน่อย”  

      แต่เอาเถอะไหนๆอาหารคนก็ไม่ขายแล้วเอาอาหารปลายก็ได้ ไม่อิ่มท้องแต่อิ่มบุญแทน 

      “สรุปจะกินหรอ”  

      “เอาให้ปลากินสิ อย่างน้อยไม่อิ่มท้องก็อิ่มบุญละนะ เอ่อ....แล้วก็ฝากนายจ่ายให้หน่อยได้ไหม”  

      “ไม่เป็นไร แค่เลี้ยงปลาเอง ไม่เลี้ยงยากเหมือนคนหรอก”  

      อัสดงส่งอาหารปลามาให้ฉันถุงหนึ่ง ฉันรับมาจากนั้นก็แกะปากถุงออก ฉันค่อยหยิมอาหารปลามาทีละกำก่อนจะโยนไปสุดแรง ก็ไม่รู้ทำไมเวลาให้อาหารปลาทีไร ฉันกับลูกพี่ลูกน้องก็จะแข่งกันว่าใครโยนอาหารปลาได้ไกลกว่ากัน  

      "นี่ๆอัสดงมาแข่งกันไหมว่าใครจะโยนอาหารปลาได้ไกลกว่ากัน"

      "หืม ไม่ละ เธอไม่ชนะฉันอยู่แล้ว"

      "ไม่ลองใครจะไปรู้เล่า!"

      ฉันโยนอาหารปลาไปสุดแรงเพื่อให้มันไปไกลเท่าที่ไกลได้

      "กระจอกน่า!" 

      อัสดงหยิบอาหารปลามากำหนึ่งแล้วก็ปามันไปข้างหน้า อาหารปลาหลายสิบเม็ดลอยละลิ่วไปในอากาศก่อนจะตกลงกลางแม่น้ำอย่างแมนยำ แม่เจ้าเขาปาไปไกลมาก

      "นายยังเป็นคนอยู่ไหมเนี่ย"เขายกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนไหวไหล่น้อยๆ

      "เฮ้อ คิดถึงสมัยเด็กๆ จัง แม่กับน้าพาฉันมาเยี่ยมคุณยายที่โรงพยาบาล ฉันบอกกับทุกคนว่าฉันอยากเป็นหมอจะได้รักษาคุณยายได้ ส่วนลูกพี่ลุกน้องฉันเขาบอกว่าอยากเป็นตำรวจ เขาอยากปกป้องคนอื่นๆ  เหมือนที่คุณตาเคยทำ คิดแล้วก็คิดถึงจังเลยนะ อยากกลับถึงบ้านเร็วๆ แล้วแฮะ” 

      “วันหยุดมีตั้งเยอะตั้งแยะทำไมถึงพึ่งคิดอยากกลับบ้านละ” 

      “ก็แบบว่า งานมันยุ่งนี่หน่า” 

      “ยุ่งหรอ สี่ปีนี่ไม่ว่างเลยเหรอ วันสงกราน เข้าพรรษา เธอไม่ว่างซักวันเลยหรอ” 

      “กะ ก็”  

      “ปากบอกคิดถึงๆ แต่ผ่านมาสี่ปีแล้วพึ่งจะมา ป่านนี้คนที่บ้านเป็นตายร้ายดีอะไรเธอก็ไม่รู้เลยสิ มัวแต่เที่ยวเล่นเสเพล พอมีเวลาว่างก็เที่ยว เชี่ยงใหม่คงเจริญมากเลยสิท่าถึงอยู่ยาวจนไม่ยอมกลับบ้านนานขนาดนี้” 

      “ไม่ใช่นะ! นายจะไปเข้าใจอะไร นายไม่ได้มีความรับผิดชอบเยอะเท่าฉันนี่” 

      “โห ภาระหนักน่าดูเลยนะคุณหมอ ดูแลคนอื่นซะดิบดีแต่กับคนที่บ้านสี่ปีเจอกันครั้ง ยิ่งซุ่มซ่ามขนาดนี้ เดี๋ยวได้ตายก่อนถึงบ้านแน่ๆ มาสำนึกรักบ้านเกิดในวันที่สายไปแล้วจะไปทำอะไรได้” อัสดงพูดจบก็ส่งสายตาน่าสมเพสพร้อมยกยิ้มนิดๆ ใส่ฉัน 

      “แต่ตอนนี้ฉันยังไม่ตายเสียหน่อย! มันสายไปที่ไหนกันหล่ะ ฉันก็กำลังจะกลับบ้าน! ฉันรู้ว่าคนที่บ้านฉันเป็นอย่างไรบ้าง ฉันวางแผนไว้แล้ว แล้วนายมายุ่งอะไรด้วย พึ่งรู้จักกันแท้ๆ นายก็ว่าฉันมาตลอดทาง นายพูดเหมือนรู้จักฉันดีนักแหละ” 

      “งั้นที่ยอมแลกเวรกับรุ่นพี่เพราะคนที่แอบชอบอยู่เวรช่วงนั้นก็อยู่ในแผนใช่ไหม หยุดยาวก็ไปเที่ยวกับคนรักก็เป็นแผนงั้นสิ โยนเคสคนไข้ให้เพื่อนเพราะจะไปเดทก็อยู่ในแผนด้วยสินะ อืมๆ เข้าใจได้ๆ” 

      “นี่นาย!” ฉันหันไปจะตบหน้าเขาแต่เขาก็จับมือฉันไว้ได้ทันก่อนจะดึงมือฉันเข้าไปหาเขา ฉันยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว เลยทำให้เซไปด้านหน้าอย่างแรงและซบลงบนอกของเขา อัสดงยื่นมืออีกข้างมาลูบหลังฉันเบาๆ น้ำตาหยดน้อยค่อยๆ ไหลออกจากตาของฉัน มันจุกไปหมด  

      ใจฉันมันเจ็บไปหมดเลย หัวก็ตื้อๆ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร 

      “ตั้งสติซะ เวลาของเธอเหลือไม่มากแล้ว เช็ดฝุ่นซะด้วย” เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาค่อยๆ ซับน้ำตาให้ฉัน  

      “ฉัน...ขอเวลาซักหน่อยนะ” 

      ฉันผละออกจากอ้อมกอดนั้นแล้วมายืนท้าวคางมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ อย่างเหม่อลอย มองวิถีชีวิตและความเป็นไปของผู้คน เรือหางยาวที่แล่นแหวกสายธารา พระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า แสงไฟเจิดจ้าจากบ้านเรือนที่ค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่องทีละดวง ทีละดวง พลันสายตาฉันก็เหลือบไปเห็นแสงไฟหลากสีที่สุดขอบอีกฝั่งของแม่น้ำ 

      “นั่น..งานวัดนี่ ฉันเคยไปที่นั่น! ฉันรู้จักมัน” ฉันเขย่าแขนเขาอย่างลืมตัว “อัสดง! วัดนั้น พาฉันไปที่วัดนั้นหน่อย” ฉันเรียกชื่อเขาพร้อมกัยชี้ไปยังทิศของวัดนั้นอย่างตื่นเต้นระคนยินดี 

      “หืม วัดท่าบุหงาเหรอ ตามมาสิ” อัสดงจูงมือฉันออกจากมหาลัยมาทะลุสถานีรถไฟ แล้วพาฉันขึ้นรถไฟสายไหนก็ไม่รู้ รู้แต่อัสดงบอกว่ารถไฟสายนี้ลอดใต้แม่น้ำ 

      “เขาน่าจะทำให้เห็นวิวใต้น้ำด้วยนะ” ฉันพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ก็แหม น่าสนใจจะตายไปนี่ รถไฟที่ลอดใต้น้ำน่ะ 

      “อยากเห็นอะไรหล่ะ ขี้โคลนหรือตะพาบ น้ำที่นี่ไม่ได้ใสเหมือนมัลดิฟส์นะแม่คุณ” 

      “เออ นั้นสินะ” ฉันหัวเราะแก้เก้อหลังจากได้ยินเขาพูดออกมาแบบนั้น ฉันหันไปมองอัสดงที่ตอนนี้ยืนกอดอกพิงผนังรถไฟอยู่ 

      “นี่อัสดง นาย...แบบว่า รังเกียจไหมถ้าจะไปเดินเที่ยวงานวัดกับฉันหน่ะ” 

      “หา ทำไมฉันต้องรังเกียจเธอด้วยล่ะ” 

      “ก็ นายดูยังโกรธฉันอยู่เลย แต่ว่าก็จริงอย่างที่นายว่า ฉันใช้เวลาของฉันได้เสียเปล่าจริงๆ นั่นแหละ” คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วมันก็หน่วงอยู่ในใจแฮะ ทำไมฉันถึงทำตัวแบบนั้นกันนะที่ผ่านมาน่ะ 

      “ถ้าคิดได้ก็ดี แต่ยังจะมีอารมณ์ไปเดินงานวัดอีกเหรอ” 

      “ก็ฉันจำทางกลับบ้านไม่ได้นี่ ฉันก็ต้องถามข้อมูลจากคนแถวนี้ก่อนสิ” 

      “ครับๆ คนเก่ง นำไปเลยครับ” อัสดงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนผายมือไปทางประตูเหมือนเป็นการเชิญให้ฉันออกไป เป็นเวลาเดียวกันกับที่ประตูรถไฟเปิดพอดี อะไรจะเป๊ะขนานนั้นพอเหมาะพอเจาะขนาดนั้น 

       

      แสงไฟหลากสีกระทบกับซุ้มประตูวัดที่ประดับด้วยกระเบื้องสีสันสดใส ทำให้มันระยิบระยับเหมือนกับเพชรหลากสี เสียงเพลงลูกทุ่งจังหวะสนุกๆ และเสียงหัวเราะของเด็กๆ บนเครื่องเล่นเป่าลมและม้าหมุนทำให้ฉันนึกถึงตอนเด็กๆ ที่ฉันคงได้เคยมาเล่นเหมือนกัน ทั้งระบายสีปูนปลาสเตอร์ ยิงตุ๊กตางานวัดตัวกลมๆ แถมมีอาหารจากชุมชนต่างๆ มาขายกันแน่นบริเวณ

      กลิ่นหอมของข้าวต้มมัดและดอกจำปาที่บานอยู่ใกล้ๆ กัน ทำให้ฉันนึกถึงช่วงก่อนที่คุณยายจะเสีย วันนั้นเป็นวันเกิดของคุณยายและเป็นวันที่ดอกจำปาบานเหมือนวันนี้ ครอบครัวของเราเลยพาคุณยายมาทำบุญที่วัด คุณยายบอกว่าแกชอบกินข้าวต้มมัดที่ฉันกับคงไคยเคยทำมาให้กินมาก  

      ตอนทำบุญฉันเลยใส่ข้าวต้มมัดที่ฉันกับคงไคยทำไว้จนเต็มบาตรพระ เพราะหลวงพ่อบอกว่าถ้าเราใส่อะไรลงไปในบาตรพระ เราก็จะได้ทานของสิ่งนั้นบนสวรรค์ 

      “ไปนั่งชิงช้าสวรรค์กันไหม” 

      “หา” นี่ฉันหูฝาดหรือเปล่าเนี่ย อัสดงเนี้ยนะชวนฉันไปเล่นชิงช้าสวรรค์ 

      “ชักช้าเดี๋ยวทิ้งไว้คนเดียวเลย มาเร็วน่า” 

      “อะ อืม” 

      ชิงช้าสวรรค์งานวัดมันก็ค่อนข้างจะโครงเครงนิดหน่อย โชคดีที่มีอัสดงจับฉันไว้ทัน ไม่งั้นฉันหงายหลังตอนขึ้นกระเช้าแน่ๆ  กระเช้าค่อยเคลื่อนขึ้นไปข้างบนอย่างช้าๆ เป็นเวลาเดียวกันกับที่คนข้างล่างกำลังจุดอะไรบางอย่าง พอกระเช้ามาถึงจุดที่สูงที่สุด เสียงวิ๊ดก็ดังขึ้น 

      บึ้ม 

      พลุหลายดอกพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภาอันมืดมิดแล้วแตกตัวออกมาเป็นประกายสีสันต่างๆ ประกายแสงสีกระทบกับผืนธาราและสะท้อนกับหลังคาอุโบสถ แสงไฟสีเหลืองอ่อนจากร้านค้าต่างๆและเสียงเพลงที่ค่อยๆ เบาลง มันเหมือนกับฉับหลุดมาอยู่อีกโลกนึงเลย มันสวยงามไปหมด มองจากตรงนี้ทุกอย่างดูเล็กจิ๋วไปหมดเลย ทั้งผู้คน บ้านเรือน หรือแม้แต่แม่น้ำสายใหญ่ตรงข้างๆวัดตอนนี้ก็เหมือนมันกว้างแต่ข้อนิ้วเอง พอมองออกไปไกลก็จะเห็นความเจริญของเมืองหลวง แสงไฟตามตึกระฟ้าหรือถนนหนทางที่ไม่ว่าดึกแค่ไหนก็ยังมีรถแล่นกันให้ควัก

      ลมเย็นพัดผ่านหน้าฉันพร้อมกันกับกลิ่นดอกไม้หอม ธูป และข้าวต้มมัด ฉันเหลียวไปมองต้นทางของกลิ่นก็พบกับใครคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มให้ฉันอยู่ รอยยิ้มของเขาช่างอ่อนโยนและอบอุ่น 

      “คนนั้น เราต้องไปหาเขา” 

      “ไหน คนไหน” อัสดงหันไปมองรอบๆ ทำให้กระเช้าส่ายไปส่ายมา 

      “เดี๋ยวฉันพาไป นายหยุดสั่นกระเช้าซักที ฉันจะมาตายเพราะกระเช้าตกไม่ได้นะ ตาบ้านั่งดีๆ สิ” อัสดงนั้งลงอย่างว่าง่ายก่อนจะหัวเราะเบาๆ 

      พอขาถึงพื้นฉันก็รีบวิ่งไปทางที่ฉันเห็นคนๆ นั้นทันที โดยมีอัสดงวิ่งตามมาติดๆ ฉันวิ่งมาถึงบริเวณที่มีเจดีย์บรรจุอัฐิเรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด ฉันมาหยุดอยู่ตรงหน้าต้นจำปาขนาดใหญ่ที่มีต้นกล้วยไม้ห้อยอยู่รอบๆ 

      “วาริน หลานมาทำอะไรที่นี่หน่ะ” ฉันหันหน้าไปตามเสียงก็ได้พบกับหญิงชราในชุดสีขาวสะอาดกำลังยืนยิ้มให้ฉัน 

      “คะ คุณยาย ทำไมถึง...” ทั้งปากทั้งเสียงของฉันมันสั่นไปหมด 

      “หลานนั่นแหละทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่กลับไปหาพ่อแม่ที่บ้านเหรอ ฮึ เจ้าตัวแสบ เขารอหลานมาจะเจ็ดวันแล้วนะ รีบกลับไปหาพวกท่านเถอะศิริวาริน” 

      “เดี๋ยว เจ็ดวันนี่มันยังไงกันคะ หนูพึ่งมาถึงได้แค่วันเดียวเองนะ แถมหนูมีเพื่อนมาด้วน ใช่ไหมอัสดง” ฉันหันไปถามชายหนุ่มที่ร่วมเดินทางมากับฉันตลอดทาง แต่เขาก็ยืนเงียบไปไม่ตอบอะไร แถมยังยิ้มออกมาน้อยๆ ด้วย 

      “ศิริวาริน หลานรีบกลับบ้านไปเถอะจ่ะ หลานไม่ได้กลับบ้านมานานแล้วนะ คุณพ่อคุณแม่เขารออยู่ เจ้าคงไคยก็ด้วย อย่าทำให้พวกท่านรอนานเลย” คุณยายยังคงดูใจดีอยู่เสมอในสายตาของฉัน แต่ถ้อยคำที่ยายพูดออกมามันทำให้กระบอกตาของฉันมันร้อนผ่าว ฉันไม่เข้าใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 

      “ตะ แต่ว่าบ้านหนูอยู่ไหนล่ะคะ หนูนึกไม่ออกเลยมันมืดไปหมด” ฉันพยายามจะพูดให้เต็มเสียงแต่เสียงมันก็สั่นไปหมด  

      “วิ่งไปตามแสงสว่างสุดท้าย และโยมจะพบกับทางกลับบ้าน” จู่ๆ หลวงพ่อองค์หนึ่งก็เดินเข้ามาพอดี ฉันจำพระรูปนี้ได้ ท่านคือพระที่ฉันใส่บาตรในวันเกิดคุณยาย 

      “แสงสว่างสุดท้ายเหรอ มันอยู่ไหนกันล่ะคะ” 

      “เฮ้อ ยัยเอ๋อ มันอยู่รอบๆ ตัวเธอตลอดนั่นแหละ ถ้าเป็นงูคงฉกตายไปแล้ว เอ้า ลองหลับตาแล้วตั้งสมาธิดีๆ ซิ” 

      อัสดงยื่นมือมาปิดตาฉัน เขาบอกให้ฉันลองทำสมาธิสินะ ในตอนนี้ฉันมองเห็นเพียงความมืดมิดที่ไร้ที่สิ้นสุด พลันหูก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อฉัน น้ำเสียงอันอ่อนโยนและอ่อนหวาน น้ำเสียงอันสุขุมเข้มและหนักแน่น น้ำเสียงที่เป็นมิตรและร่าเริง ฉันค่อยๆ ปัดมืออัสดงออก ก่อนจะกราบลาหล่วงพ่อและคุณยาย 

      “เจอแล้วเหรอ เฮ้! เดี๋ยวสิรอด้วย เดี๋ยวก็สะดุดล้มหรอก” 

      อัสดงยังพูดไม่ทันขาดคำฉันก็ล้มกระแทกพื้นเข้าอย่างจัง เพราะเขาอยู่ห่างจากฉันมากเกินไปทำให้มาคว้าแขนฉันไว้ไม่ทัน แต่ฉันก็ไม่สนใจรีบลุกขึ้นและวิ่งออกไปอย่างสุดแรง ฉันจำได้แล้ว บ้านของฉัน ครอบครัวของฉัน 

      ฉันวิ่งมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่บ้านสวนอันร่มรื่นซึ่งตอนนี้มีผู้คนมากมายใส่ชุดสีดำนั่งพนมมือกันอยู่เต็มบริเวณบ้าน ศาลพระภูมิที่ถูกผ้าสีขาวปิดเอาไว้อย่างมิดชิด เสียงพระสวดที่ดังอย่างพร้อมเพรียงเหมือนเสียงร้องเพลงประสานเสียง รูปภาพสีขาวดำของหญิงสาวผมยาวหน้าตาน่ารักถูกประดับไว้ข้างๆ โลงศพที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้ ฉันยืนมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง 

      “นะ นี่ฉัน ตายไปแล้วหรอ ไม่จริงน่า นี่! คงไคย พ่อคะ แม่คะ” ฉันพยายามเรียกชื่อคนสำคัญในชีวิตฉัน แต่ดูเหมือนเสียงของฉันมันคงจะเบาเหลือเกิน ไม่มีใครได้ยินเสียงของฉันหรือแม้กระทั่งมองเห็นฉันด้วยซ้ำ 

      “ไม่จริงน่า” 

      เสียงสวดมนต์ได้จบลงเสียงร้องไห้อันเจ็บปวดก็ดังขึ้นมาแทน  ฉันค่อยๆ เดินเข้าไปในบ้านที่ตอนนี้มีพวงหลีดหลายสิบพวงวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ คุณพ่อและคุณแม่ที่นั่งสะอึกสะอื้นอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ คงไคยที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น ยัยมะปรางที่มีเฝือกพันอยู่ที่แขนและคอ  

      และคนๆ นั้น คนที่ฉันเคยรักและทุ่มเวลาให้ไปทั้งหมด เขาก็นั่งร้องไห้ตัวสั้นตลอดงาน ปากก็พูดขอให้ฉันอโหสิให้พร้อมร่างกายอันสั่นเทา พร้อมๆ กับคุณแม่ของฉันที่เข้าไปปลอบคนๆ นั้นและมะปรางที่มองรูปฉันอย่างอาวร 

      “ฉันขอโทษนะริน ถ้าฉันออกมาเร็วกว่านี้ล่ะก็ เธอก็คง เธอก็คงไม่...” 

      “หนูมะปรางอย่าเสียใจไปเลย รินเขาได้หลับอย่างสบายแล้วนะ” 

      “อะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึง... มะปราง” 

      ฉันยื่นมือไปแตะตัวมะปราง ทันใดนั้นภาพบางอย่างก็ไหลเข้ามาในหัวฉัน เป็นภาพของรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ชนโบกี้รถไฟจนเละเทะ หญิงสาวคนหนึ่งคลานออกจากห้องน้ำรถไฟแล้วตะโกนเรียกชื่อเพื่อนสนิทจนสุดเสียงแต่ก็ไร้เสียงตอบรับใดๆ  

      ท่ามกลางความโกลาหนนี้เธอค่อยๆ คลานไปยังที่นั่งของเธอพร้อมขาขวาที่ไม่อาจใช้งานได้และแขนซ้ายที่ปวดระบบ ภายใต้เศษเหล็กมากมายปรากฎร่างหญิงสาวนอนจมกองเลือด ใบหน้าของเธอเริ่มขาวซีดและไร้การตอบโต้ใดๆ 

      “ริน! วาริน! ได้ยินฉันไหม” 

      เธอค่อยๆ เอื่อมมืออันโชกเลือดขอเธอไปจับยังใบหน้าอันซีดเผือกของเพื่อนเธอซึ่งตอนนี้ร่างกายของเพื่อนสาวก็เริ่มจะเย็นแล้ว เธอจึงเอานิ้วไปอิงจมูกเพื่อความแน่ใจและสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็ได้เกิดขึ้นตรงหน้าเธอแล้ว วารินตายแล้ว เธอจากไปอย่างสงบ  

      เพียงช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่เธอปล่อยให้เพื่อนของเธอนอนหลับเอนหัวพิงผนังรถไฟ แล้วเธอก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ พอกลับออกมาก็พบว่าเพื่อนของเธอนั้นได้จากเธอไปแล้ว คำสัญญาที่เคยให้กันไว้ก่อนจะมาถึงเมืองหลวงจะไม่มีทางเป็นจริง มีเพียงความสูญเสียมากเกินจะบรรยาย 

      ภาพค่อยๆ จางลงพร้อมกับน้ำตาค่อยๆ ไหลริน ฉันกลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง คุณแม่โผเข้าก่อดมะปรางคุณ พ่อกำลังปลอบใจคนๆ นั้นและคงไคยกับคุณอาที่นั่งร้องไห้ ฉันโผเข้ากอดคุณแม่และมะปราง ฉันไม่รู้จะขอโทษเขายังไง เป็นฉันเองที่ประมาทไป เป็นฉันเองที่คิดว่ายังมีเวลา ทุกอย่างอยู่ในแผนและฉันไม่เคยพลาด 

      แต่ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว โอกาส เวลา คำขอโทษ คำสัญญา ทุกสิ่งมันจบสิ้นไปแล้ว สำหรับมะปรางอ้อมกอดของฉันคงเป็นแค่ลมเย็นๆ ที่พัดผ่านตัวเธอไป เพียงแต่เธอคงสัมผัสมันได้ว่าเป็นฉัน เธอโอบกอดอากาศที่ว่างเปล่าและร้องไห้ออกมาอย่างหนัก  

      “รินฉัน ฉันขอโทษ อโหสิกรรมให้ฉันด้วย” 

      “อืม ฉันอโหสิกรรมให้ทุกคนเลยนะ” ฉันพูดอย่างหนักแน่น ถึงพวกเขาจะไม่ได้ยินแต่ก็คงจะสัมผัสได้ 

      “เวลาของเธอสั้นจังนะ” ชายสูทแดงเดินเข้ามาหาฉันก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ 

      “ไง ได้กลับบ้านแล้วนี่ เป็นไง” 

      “อืม จริงอย่างที่นายว่าทุกอย่างเลย มันสายเกินไปสำหรับฉันที่จะแก้ตัว สายเกินไปที่จะสำนึกแล้วล่ะ ว่าแต่นาย ทำไมถึง... ไม่สิ นายเป็นใคร” อัสดงกระตุกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถอดถอนหายใจยาว 

      “เป็นคนที่จะพาเธอไปส่งบ้านไงและก็จะไปส่งเธอถึงเส้นทางสุดท้ายของการเดินทางเลย” 

      “เส้นทางสุดท้ายหรอ แต่ว่าฉัน...” 

      “ทำไม ยังไม่พร้อมเหรอ ถ้ายังจะอยู่ต่อก็ได้นะ แต่ก็จะไม่มีใครเห็นเธอ ไม่มีใครได้ยินเธอ เธอคือคนที่ตายไปแล้ว เธอมีที่ๆ ควรจะไปและไม่ใช่ที่นี่ ถึงนี่จะเป็นบ้านของเธอแต่ตอนนี้มันไม่ใช่ที่ของเธออีกต่อไป” 

      “แล้วฉันต้องไปไหนล่ะ” 

      “เธอพร้อมหรือยังล่ะ ไม่ห่วงอะไรแล้วใช่ไหม” 

      “ตอนแรกก็ยังไม่อยากไปหรอกนะ เพราะฉันพึ่งมาถึงเอง แต่ว่า ทั้งหมดนั้นฉันก็ทำตัวเองทั้งนั้น ฉันดีใจนะที่อย่างน้อยก็ได้กลับบ้าน ตอนนี้ฉันถึงบ้านแล้ว ฉันพอใจแล้วหล่ะ” 

      “งั้นก็ดี เราจะไปกันเลยนะ” 

      “อืม!” อัสดงจับมือฉันแแล้วก็พาฉันเดินออกมาจากบริเวณนั้น ฉันหันหลังกลับไปมองระยะทางอันไกลแสนไกลที่ฉันจากมา มือแกร่งยื่นมาจับหน้าฉันไว้แล้วหันมันไปด้านหน้า 

      “ไหนว่าไม่ห่วงแล้วไง” 

      “ไม่ห่วงแล้วล่ะ ฉันนี่ก็เดินทางมาไกลเหมือนกันนะ” อัสดงไหวไหลก่อนจะพาฉันเดินมาทางที่มีแต่สีขาวเต็มไปหมด ตลอดทางฉันเห็นผู้นคนมากมากเดินตามชายชุดดำบ้างขาวบ้างสลับกันไป โดยเป้าหมายของทุกคนคือรถไฟที่จอดอยู่ที่สุดสายของทางเดินนี้ 

      ‘ดวงวิญญาณทุกดวงโปรดทราบ ขณะนี้รถไฟสายปรโลกได้มาถึงยังสถานีแล้ว ขอให้ดวงวิญญานทุกดวงเตรียมตัว อีกไม่นานขวบรถของเราจะออกจากชานชาลาแล้ว’ 

      “ฉันมาส่งเธอได้แค่นี้แหละ ที่เหลือขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะยัยบ๊อง” 

      “มันจะพาฉันไปที่ไหนเหรอ” 

      “ที่ที่เธอควรจะไป มันขึ้นอยู่กับเธอว่าจะเป็นที่แบบไหน” 

      “อ่า เข้าใจแล้ว งั้น...ฉันไปก่อนนะ” ฉันค่อยๆ ก้าวเข้าไปในรถไฟแต่ขาเจ้ากรรมก็ดันไปสะดุดช่องว่างระหว่างชานชาลาทำให้ตัวฉันเซไปด้านหน้า แต่ก่อนฉันจะได้ล้มโชว์วิญญาณทั้งหลาย อ้อมแขนอันคุ้นเคยก็ฉุดรั้งฉันไว้ 

      “เฮ้อ แม้ตอนจบสุดท้ายก็ยังทำให้ฉันอดเป็นห่วงไม่ได้เลยจริงๆ นะเธอเนี่ย เอ้านี่! เอาไว้เช็ดฝุ่น เผื่อฝุ่นเข้าตา” อัสดงยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนที่ฉันคุ้นเคยมาตรงหน้าฉันรีบรับไว้ทันที่เพราะกลัวเขาปามันใส่หน้าอีก 

      “ขอบใจนะ” 

      “อ่า โชคดีนะ” อัสดงส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ฉัน มันดูดีกว่าครั้งไหนๆ ที่เขายิ้มออกมา มันสง่างามและอบอุ่นแต่แฝงด้วยความเศร้าหมองเหมือนพระอาทิตย์ยามอัสดงที่งดงามเฉกเช่นแสงอาทิตยามใกล้รุ่งแต่เมื่อความสวยงามจากไปจะเหลือเพียงความมืดมิด เวลาแห่งการจากลา 

      ‘รถไฟกำลังจะออกจากชานชาลา ดวงวิญญาณทุกดวงโปรดเดินทางถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ’ 

      สิ้นเสียงประกาศรถไฟก็เคลื่อนออกจากชานชาลาอย่างช้าๆ ฉันเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นภาพอดีตของฉันกำลังฉายวนไปเรื่อยๆ เหมือนหนังกลางแปลงเรื่องนึงที่ฉากซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ดูได้ไม่มีเบื่อ

      “โอ๊ะ” ให้ตายเถอะปรโลกมีฝุ่นด้วยหรอ  

      ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อัสดงให้เพื่อเช็ดน้ำตาแต่ดันเหลือบไปเห็นบางอย่าง ฉันพลิกไปอีกด้านของผ้าเช็ดหน้า ตรงมุมขวาล่างถูกปักด้ายอย่างรีบๆ แต่ฉันก็พอจะอ่านออก มันปักไว้ว่า ‘ขอให้โชคดีนะ ยัยเอ๋อ’  

      “ให้ตายสิ ตาบ้านั้น” แทนที่จะมาเช็ดฝุ่นคงได้เช็ดน้ำตาฉันแทนล่ะมั้ง พอเป็นแบบนี้แล้วทำฉันคิดถึงเขาขึ้นมาทันทีเลย ตลอดทางที่มาฉันมีเขาคอยร่วมทางมาตลอด เขาเป็นเหมือนแสงเทียนในความมืดมิดสำหรับฉัน  

      ก็นะ ฉันที่ตื่นมาจำอะไรไม่ได้เลย ในสมองว่างเปล่าและโดดเดี่ยว จู่ๆ ก็มีใครก็ไม่รู้มานำทางให้ มาอยู่เป็นเพื่อน คอยเตือนสติที่บางครั้งมันก็แรงไปหน่อย ช่วยรั้งฉันไว้ในตอนที่ฉันจะล้ม  อยู่ข้างๆ ฉันมาตลอดเลย จริงๆ แล้วฉันก็รู้สึกอบอุ่นนะที่ได้อยู่ข้างๆ เขา  

      ฉันยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เส้นทางอันแสนยาวไกลที่ตอนนี้ฉันได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทางแล้ว
        ฉันจะได้เจอเขาอีกไหมนะ  แต่ยังไงก็  

       

      ขอบคุณนะอัสดง 

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×